ประวัติต้นสกุล “มงคลนาวิน”

ชีวประวัติ  นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  ต้นสกุล “มงคลนาวิน”

กล่าวนำ

ชีวประวัติ   นาวาโท  พระมงคลนาวาวุธ(มงคล  มงคลนาวิน)   เป็นประวัติโดยย่อเกี่ยวกับกำเนิด  การรับราชการ  การสมรสและครอบครัว  การอบรมสั่งสอนลูก ๆ  ฯลฯ ของ นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  เพื่อให้ผู้สืบสกุล “มงคลนาวิน” ได้ทราบและระลึกถึงผู้เป็นต้นสกุล “มงคลนาวิน”  ตลอดไป

016

กำเนิด

นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  เกิดเมื่อวันที่  ๑  พฤศจิกายน  พ.ศ.๒๔๓๗  ที่ตำบลวังหลัง  อำเภอบางกอกน้อย    จังหวัดนนทบุรี    เป็นบุตรขุนพรหมภักดี (เอม)   และหม่อมหลวงสังวาลย์อิศรางกูร

การศึกษา

นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  ได้สมัครเข้าเป็นนักเรียนนายเรือ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๖  ขณะอายุ ๙ ปี  และได้จบการศึกษาชั้นสูงสุดได้รับยศ  ว่าที่ นายเรือตรี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๕  ขณะอายุได้   ๑๘   ปี     ตามหลักสูตรที่   พลเรือตรี   พระเจ้าลูกยาเธอ  กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์  ทรงเป็นประธานจัดทำโดยทรงมีพระปณิธานให้ทหารเรือเดินเรือได้อย่างชาวต่างประเทศ  และสามารถทำการรบได้ด้วย

ในระหว่างรับราชการทหารเรือ  ได้ศึกษาเพิ่มเติมในวิชาปืนใหญ่  และวิทยุโทรเลขในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้สมัครเรียนวิชากฎหมาย  ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง

2002

โรงเรียนนายเรือ

การรับราชการในกองทัพเรือ

นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  ได้รับราชการในกองทัพเรือ ในตำแหน่งที่สำคัญได้แก่ ผู้บังคับการเรือหลวงสุริยะมณฑล  ผู้บังคับการเรือหลวงมงกุฎราชกุมาร  ผู้บังคับการเรือหลวงสุครีพครองเมือง    ผู้บังคับการเรือหลวงรัตนโกสินทร์    ผู้บังคับการกองเรือปืน  ผู้บังคับกองปืน กรมสรรพาวุธทหารเรือ  ผู้บังคับกองโรงเรียนชุมพลทหารเรือ ผู้บังคับกองโรงเรียนนายเรือ  ตำแหน่งสุดท้าย ได้แก่ รั้งตำแหน่งผู้บังคับการสถานีทหารเรือกรุงเทพฯ

นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  มีความเจริญก้าวหน้าในการรับราชการในกองทัพเรือ  โดยได้รับยศเป็น นายนาวาโทเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙  เมื่ออายุได้ ๓๒ ปี   ในชีวิตรับราชการในกองทัพเรือ  ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพเรือและแก่ประเทศชาติอย่างมาก  ซึ่งที่นับว่าสำคัญมีอย่างน้อย  ๒  ครั้ง  ครั้งแรกได้รับการแต่งตั้งให้เป็นต้นเรือเรือเดินสมุท  เดินทางไปราชการที่ประเทศญี่ปุ่น  ครั้งที่สอง  เมื่อมีเหตุการณ์กบฏบวรเดช  ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖

นอกจากนั้นขณะที่ดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับกองโรงเรียนนายเรือ ได้เป็นผู้บังคับการเรือหลวงเจ้าพระยา  นำนักเรียนนายเรือไปฝึกภาคทะเลยังต่างประเทศถึงกรุงมนิลา  ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งในสมัยนั้นไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายดายนัก  เพราะไม่มีเครื่องมือเดินเรือทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน

2010

ภาพถ่ายเมื่อครั้งเป็นผู้บังคับการ โรงเรียนนายเรือนำนักเรียนนายเรือ

ไปฝึกภาค ณ ประเทศฟิลิปปินส์ โดย ร.ล.เจ้าพระยา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖

(นั่งเก้าอี้แถวหน้าคนที่ ๔ จากซ้าย)

การเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นกับเรือเดินสมุท

ในขณะมียศ นายเรือโท  อายุเพียง ๒๓ ปี  ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นต้นเรือ เรือเดินสมุท เดินทางไปราชการประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเดินทางไปปฏิบัติราชการที่สำคัญให้กับประเทศยามสงครามด้วยเรือสินค้ารุ่นเก่า  ซึ่งนับว่าเสี่ยงอันตรายอย่างมากในสมัยนั้น

สาเหตุที่ต้องเดินทางไปราชการครั้งนี้ก็เนื่องมาจาก หลังจากที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนีและออสเตรียฮังการี เมื่อ ๒๒  กรกฎาคม  ๒๔๖๐  นั้น   กระทรวงทหารเรือได้เกิดขาดแคลนพัสดุ  และถ่านหินที่จำเป็นต้องใช้ในกิจการทหารเรือ จึงได้มีคำสั่งจัดเรือเชลย ๒ ลำ ซึ่งยึดมาจากเยอรมนีขึ้นเป็นกองเรืออิสระประกอบด้วย “เรือเยี่ยมสมุท” (เดิมชื่อ เตราเตลเฟลส์) และ “เรือเดินสมุท” (เดิมชื่อ เรือเชียงใหม่) เพื่อเดินทางไปขนพัสดุและถ่านหินจากประเทศญี่ปุ่น ในขาไปให้ขนสินค้าไปส่งยังฮ่องกง  และขนสินค้าจากฮ่องกงไปยังโกเบประเทศญี่ปุ่นด้วย   กองเรืออิสระนี้ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อ ๒๗ ตุลาคม ๒๔๖๐ และทางกระทรวงทหารเรือได้มีคำสั่งจัด นายเรือโท มงคล มงคลนาวิน (นาวาโท พระมงคล นาวาวุธ) เป็นต้นเรือ “เรือเดินสมุท”  ในการไปราชการครั้งนี้ด้วย

กองเรืออิสระได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ  เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน  ๒๔๖๐ เดิมกำหนดให้เดินทางร่วมกันไป แต่ปรากฏว่ากองเรือได้ถูกคลื่นลมอย่างหนักบริเวณแหลมญวนจนต้องพลัดกันต่างลำต่างเดินทาง      ในเที่ยวกลับเรือเยี่ยมสมุทได้ไปเกยเกาะอาลิกาเตอร์ในทะเลจีนแตก ส่วนเรือเดินสมุทสามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้โดยสวัสดิภาพ    และปฏิบัติหน้าที่ได้ครบถ้วนตามที่ทางราชการได้มอบหมายซึ่งความสำเร็จครั้งนี้   เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นเพราะความสามารถของต้นเรือ  และบรรดานายทหารที่มีตำแหน่งรองลงไป  และแสดงถึงเกียรติคุณของนายทหารเรือไทยสมกับเป็นลูกศิษย์ของบรมครู กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

2006

นายเรือโทมงคล มงคลนาวิน (ที่ ๓ จากซ้าย)

เมื่อครั้งเป็น “ต้นเรือ” เรือ “เดินสมุท”ไปราชการต่างประเทศเป็นครั้งแรก

เพื่อจัดซื้อถ่านหินจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐

เมื่อเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖

ในขณะที่ได้รับการบรรจุให้เป็น รั้งตำแหน่ง ผู้บังคับการสถานีทหารเรือกรุงเทพฯ ในเดือน ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖  ได้เกิดเหตุการณ์กบฏ นำโดย พลเอก พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช    โดยฝ่ายกบฏ ได้นำทหารหัวเมืองเข้าพระนคร    ได้เข้ายึดพื้นที่ดอนเมืองตามแนวคลองรังสิตเอาไว้   โดยจัดตั้งกองบัญชาการอยู่ที่สโมสรทหารอากาศ จากนั้นได้ยึดพื้นที่จากดอนเมืองเรื่อยมาจนถึงบางเขน ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้กำลังทหารบกต่อต้านฝ่ายกบฏไม่ให้เข้ายึดพระนคร

พันเอก  พระยาพหลพลพยุหเสนา  ผู้บัญชาการทหารบก ได้มีคำสั่งให้กรมทหารเรือ   เตรียมยิงด้วยปืนใหญ่เรือจากเรือหลวงสุโขทัย   ไปยังสถานีบางเขน  สถานีหลักสี่ และกรมอากาศยานดอนเมือง  นาวาเอก พระยาวิชิตชลธี ผู้บัญชาการทหารเรือ จึงได้ปรึกษา นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ   ซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในขณะนั้น   และเป็นผู้ชำนาญการด้านปืนใหญ่ กับเคยเป็นผู้บังคับการเรือหลวงรัตนโกสินทร์ ( เรือชุดเดียวกับเรือหลวงสุโขทัย ) ว่าควรปฏิบัติอย่างไร  นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ ได้เสนอว่า ไม่ควรปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เพราะปืนใหญ่เรือเป็นปืนกระสุนวิถีราบจะเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อวัดวาอารามและพลเมืองที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างมาก     ทั้งกองกำลังทหารอากาศก็เป็นเพื่อนร่วมชาติด้วยกัน ผู้บัญชาการทหารเรือจึงได้ถามว่า ถ้าเช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร ซึ่ง นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ ได้เสนอแนะว่า เห็นควรประกาศให้ทหารเรือเป็นกลาง และนำกำลังเรือรบทั้งหมดรวมทั้งกำลังนาวิกโยธินย้ายไปอยู่ที่กรมสรรพาวุธบางนาเป็นการชั่วคราว  ผู้บัญชาการทหารเรือเห็นด้วย  และได้มีคำสั่งให้ นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ เป็นผู้คุมกระบวนเรือ จากพระนครไปบางนาโดยประจำอยู่ในเรือลำสุดท้าย  กับมอบให้เป็นผู้ควบคุมดูแลพื้นที่บริเวณกรมสรรพาวุธทหารเรือด้วย   การกระทำครั้งนี้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างมากจากการยิงปืนใหญ่จากเรือ

หลังจากเหตุการณ์สงบลง  นาวาโท พระมงคลนาวาวุธและนายทหารชั้นผู้ใหญ่รวม ๘ นาย  ที่ได้ร่วมปฏิบัติการตามคำสั่งผู้บัญชาการทหารเรือได้ถูกเรียกไปสอบสวนที่วังปารุสกวันอยู่  ๘ วัน  ในข้อหาสงสัยว่าจะเข้าข้างฝ่ายกบฏ แต่ในที่สุดไม่ปรากฏความผิดเพราะทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาและตามระเบียบวินัย  กับมีหนังสือสุทธิประจำตัวแสดงว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยคนละฉบับ    อย่างไรก็ตามนายทหารทั้ง ๘ นายได้ถูกสำรองราชการกองทัพเรือ ตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ จนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ยังไม่ได้รับการบรรจุเข้าปฏิบัติราชการทุกคนจึงได้ลาออกจากราชการเมื่อวันที่  ๑  พฤษภาคม  ๒๔๗๗

2011

น.ท.พระมงคลนาวาวุธ, น.อ.พระยาฤทธิเดชชลขันธ์, น.ท.พระประกอบกลกิจ,

              น.ท.พระพิชัยชลสินธ์ุ, น.ท.พระเจนพิชชาจักร, น.ท.หลวงวิสิษฐ์สาครเดช         

            เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายเรือ จบการศึกษาปี พ.ศ. ๒๔๕๔

ชีวิตเมื่อออกจากราชการ

หลังจากลาออกจากราชการกองทัพเรือ  นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  ได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อำเภอบางใหญ่  จังหวัดนนทบุรี  โดยได้ไปซื้อสวนไว้  ๓  แห่ง  ได้แก่ที่ตำบลวัดเสาธงหิน (ข้างวัดเสาธงหิน)  ที่ใกล้วัดบางสะแก และที่บางสีราษฎร์  โดยตั้งใจจะประกอบอาชีพทำสวนซึ่งมีใจรักอยู่แล้ว  สำหรับสวนที่วัดเสาธงหินได้ปรับปรุงให้เป็นสวนทุเรียนที่ทันสมัย  มีคันคูโดยรอบเพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก  โดยมีเครื่องระหัสสูบน้ำประจำที่เป็นตัวอย่างให้สวนใกล้เคียง

2013

ออกจากราชการในกองทัพเรือ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗

ไปทำสวนทุเรียนที่อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี

2019

ระหว่างที่ทำสวนอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี กระทรวงมหาดไทย

ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นประธานสภาจังหวัดนนทบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐

กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง

ในวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๔๘๑ นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ ได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้งในตำแหน่งพนักงานตรวจท่าชั้น ๑  กองตรวจท่า   กรมเจ้าท่า  กระทรวงคมนาคม  และได้เจริญก้าวหน้า  เป็นหัวหน้ากองตรวจท่าในปี  ๒๔๘๔   กับได้เคยรักษาการอธิบดีกรมเจ้าท่า ๒ ครั้ง  และได้เกษียณอายุราชการเมื่อ ๓๐ กันยายน ๒๔๙๘

2020

กลับเข้ารับราชการกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕

การทำงานในรัฐวิสาหกิจ

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘  ได้รับตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัท ขนส่ง จำกัด

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙  หลังเกษียณอายุราชการ  ได้ทำงานใน บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด  ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเรือ

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐  ได้รักษาการในตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ไทยเดินเรือทะเลจำกัด

บรรดาศักดิ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์

ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น หลวงมงคลนาวาวุธ  เมื่อ ๒๓ เมษายน ๒๔๖๓ และได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระมงคลนาวาวุธเมื่อ ๑ เมษายน ๒๔๗๒  และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทวิติยาภรณ์มงกุฎไทยเมื่อ  ๑๙ มกราคม ๒๔๙๓

ชีวิตสมรสและครอบครัว

นาวาโท พระมงคลนาวาวุธได้ทำการสมรสกับนางมงคลนาวาวุธ (ต่วนทิพย์  อินทรเสน)  ธิดาพระศิลปานุจิตรการ  และนางเปลี่ยน  อินทรเสน  เมื่อ พุทธศักราช ๒๔๕๘

2025

เมื่อแรกแต่งงาน พ.ศ. ๒๔๖๐

มีบุตรธิดา รวม  ๑๑  คน คือ

 

และมีบุตรธิดาที่เกิดจากนางจวนจิตร  แจ้งสว่าง  อีก  ๒  คน  คือ

IMG_0110

การอบรมลูก ๆ

นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  ได้อบรมลูก ๆ ด้วยความรักความตั้งใจและเสียสละ  จนทำให้ลูก ๆ มีความเจริญรุ่งเรืองมีความรักใคร่สามัคคีกันอันอาจถือเป็นแบบอย่างได้ครอบครัวหนึ่ง สำหรับคุณธรรมประจำใจในการดำรงชีวิตคือหลักสามประการ  ได้แก่  ประพฤติดีหนึ่ง  ปฏิบัติดีหนึ่ง และประหยัดดีหนึ่ง  ซึ่งคุณธรรมดังกล่าวนี้ครอบครัวมงคลนาวิน  ได้ถือเป็นหลักปฏิบัติตลอดมา

2028

การศาสนา

นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  มีความเชื่อถือในพุทธศาสนา  โดยทำบุญใส่บาตรเป็นประจำ  รวมทั้งได้ร่วมทำบุญในโอกาสต่าง ๆ  วัดที่มักไปประจำได้แก่วัดเทวราชกุญชร  วรวิหารแขวงวชิรพยาบาล  เขตดุสิต ซึ่งต่อมาบุตรชายคนหนึ่งคือ   ดร.อุกฤษ  ได้รับเชิญจากเจ้าอาวาสให้เป็นประธานกรรมการบูรณะพระอาราม  และได้สร้างพิพิธภัณฑ์สักทองขึ้น  ให้เป็นสมบัติของชาติ

2034

เป็นประธานในการถวายผ้ากฐินที่วัดบางสะแก อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐

อาคารคอนโดมิเนียมนาวินคอร์ท

ในปีพ.ศ. ๒๔๘๔  ในขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองตรวจท่า  กรมเจ้าท่า  ซึ่งมีบ้านพักตำแหน่งอยู่ที่เสาธงคลองสาน  นาวาโทพระมงคลนาวาวุธได้ซื้อที่ดินที่ซอยร่วมฤดี  ๓  ถนนเพลินจิต  เนื้อที่สองไร่เศษ  เพื่อสร้างเป็นบ้านพักและได้ย้ายมาอยู่ที่ซอยร่วมฤดี ๓  ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๑  ซึ่งปัจจุบันที่ดินนี้ได้ใช้สร้างเป็นคอนโดมิเนียม  นาวินคอร์ท สูง  ๘  ชั้น  โดยพี่น้องสกุลมงคลนาวินส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่ในอาคารหลังนี้

004

อาคารนาวิน คอร์ท

บทสรุป

จากประวัติย่อของ นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  จะเห็นได้ว่าท่านเป็นผู้ที่กระทำแต่ความดี  มีคุณธรรม  มีความรักและสนใจในครอบครัว  และเป็นผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมืองซึ่งถือเป็นแบบอย่างของผู้สืบสกุล “มงคลนาวิน”  ตลอดไป

นาวาโท พระมงคลนาวาวุธ  ได้ป่วยด้วยโรคชรา  ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๔  ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  อายุได้  ๗๗ ปี ๑๐ เดือน

2001

capture-20141213-104745_Fotor

adminประวัติต้นสกุล “มงคลนาวิน”