ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย คนที่มีความรักอิสรภาพและเสรีภาพเป็นชีวิตจิตใจ เป็นคนกล้าหาญและเป็นคนมีน้ำใจ
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำให้เราดำรงความเป็นเอกราช มาได้โดยตลอด ผิดกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านเราหลายประเทศซึ่งต้องสูญเสียเอกราชไปเพราะการแตกแยกความสามัคคี การแก่งแย่งชิงดีการทุจริตและพฤติมิชอบขนาดหนัก จนลืมนึกถึงประเทศชาติและประชาชน
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นใน “กฎแห่งกรรม”กล่าวคือ “ทำดี-ดี” “ทำชั่ว-ชั่ว” การได้ดีหรือได้ชั่วไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องทางด้านวัตถุอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความวิบัติที่เกิดขึ้นแก่ผู้ทำความชั่ว รวมไปถึงความวิบัติ ความหายนะ หรือเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นแก่ตัวเอง หรือบุคคลในครอบครัวหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ช้าก็เร็ว
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในหลักการสำคัญของพุทธศาสนาคือ ทำความดี ละเว้นความชั่วและทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงพยายามกระทำทุกอย่างที่จะก่อให้เกิดความดีงามความเจริญแก่บุคคลที่ข้าพเจ้ารัก เริ่มจากบุคคลในครอบครัว บุคคลในหน่วยงาน เพื่อนร่วมชาติ และเพื่อนร่วมโลกในที่สุด
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในเรื่อง “ความกตัญญู” ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงกระทำทุกอย่างที่สามารถตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย โดยเฉพาะ บิดา มารดา ครูอาจารย์ แม้กระทั่งบรรดาบุคคลทั้งหลายที่ ทำคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้าด้วยความตั้งใจและจริงใจ แม้ว่าบรรดาบุคคลเหล่านี้เกือบทุกคนได้รับผลประโยชน์ตอบแทนพอสมควรแล้วในฐานะผู้ร่วมงาน หรือในฐานะเป็นพนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐที่ข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชา หรือหน่วยงานเอกชนของข้าพเจ้าเอง รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ประจำบ้านด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าพเจ้าไม่เคยทอดทิ้งคนเก่าแก่ของข้าพเจ้าในยามชรา หรือเจ็บป่วย ไม่สามารถมาทำงานได้ โดยข้าพเจ้าจะให้ความอุปการะให้สามารถอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน รวมทั้งจ่าย ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าไรก็ตาม เพราะข้าพเจ้าคิดถึงคุณความดีในอดีต และคิดถึงหลัก “มนุษยธรรม”
ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนทุกคน ไม่ว่าคนมั่งมีหรือคนยากจน คนที่มีความสมบูรณ์หรือคนพิการด้อยโอกาส ต่างมีความเป็น “คน” เท่าเทียมกัน ข้าพเจ้าจึงปฏิบัติต่อคนทุกคนตามฐานานุรูปโดยไม่เกรงกลัวต่อผู้มั่งคั่งหรือ ผู้มีอำนาจและไม่เอาเปรียบ กดขี่ผู้ที่ด้อยกว่าข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการด้อยกว่าทางชาติวุฒิ คุณวุฒิ ฐานะโอกาสทางสังคมหรือทางเศรษฐกิจ เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าชีวิตคนเราไม่ได้อยู่ยืนยาวกว่ากันมากมายนัก จึงควรกระทำแต่ความดีมีความเมตตากรุณาเพื่อนมนุษย์และในที่สุดสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของบุคคลอื่น จะมีเพียงเกียรติยศ ชื่อเสียง ที่เกิดจากความดีที่ประกอบไว้โดยเป็นความดีที่ไม่มีเบื้องหลังหรือแอบแฝงด้วยการเสแสร้งหรือใช้อุบายหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อ ซึ่งความจริงจะต้องเปิดเผยในที่สุด
ข้าพเจ้าเชื่อเสมอว่า ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนไทยธรรมดาคนหนึ่งที่มีโชคดีกว่าคนอื่น เพราะข้าพเจ้ามีโอกาสได้รับใช้ประเทศชาติและประชาชน ในงานด้านต่างๆ และเนื่องจากข้าพเจ้ามุ่งมั่นในการทำงานทุกอย่างด้วยการใช้ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ มาผสมผสานเข้าด้วยกันโดยปราศจากการเพ้อฝันมีหลักการว่าทำอะไรก็ตาม ต้องทำให้ดีที่สุด ส่วนผลที่ได้รับจะเป็นเช่นใด ข้าพเจ้ายอมรับทั้งสิ้น โดยถือว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดข้อสำคัญการกระทำทุกอย่างต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เกิดความเดือนร้อนเสียหายโดยปราศจากคุณธรรม จากหลักการเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความสำเร็จพอสมควร ในกิจกรรมที่ได้กระทำทุกด้าน ทั้งด้านวิชาการ ด้านราชการ ด้านวิชาชีพกฎหมาย ด้านธุรกิจ ด้านการเมือง ด้านสังคมสงเคราะห์ ด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศ และด้านอื่น ๆ โดยได้รับตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูงสุด เกือบทุกด้าน แต่ข้าพเจ้าไม่เคยลืมตัวเพราะข้าพเจ้าเข้ายึดหลักที่ว่า มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ มีสรรเสริญ-มีนินทา มีสุข-มีทุกข์ ข้าพเจ้าจึงไม่คิดหลงกับชื่อเสียง หรือคำสรรเสริญเยินยอชั่วครั้งชั่วคราว
ข้าพเจ้ามีความมั่นคงที่จะรับทั้งข้อแนะนำ ข้อคิดเห็น ข้อวิพากษ์วิจารณ์ในทางสร้างสรรค์จากผู้มีคุณธรรม และนำมาประกอบพิจารณาในการปรับปรุงแก้ไข หรือเป็นแนวทางที่จะดำเนินการเพื่อบ้านเมืองต่อไป การวิจารณ์ของผู้ที่ปราศจากคุณธรรม และไม่ใช่การวิจารณ์ในทางสร้างสรรค์ ข้าพเจ้าจะไม่สนใจ หรือให้ความสำคัญเพราะจะทำให้เกิดความขุ่นเคือง ท้อถอย หมดกำลังใจและตราบใดมนุษย์ยังมีกิเลสตัณหา มีความเร่าร้อนด้วยความอิจฉาริษยาจะไม่สามารถระงับเรื่องการนินทาว่าร้ายลงได้
ข้าพเจ้าไม่มีกิเลสและไม่มีความทะเยอทะยานที่จะมีอำนาจ หรือมีตำแหน่งหน้าที่ในราชการด้วยการเล่นการเมืองในปัจจุบัน เพราะข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า การเล่นการเมืองโดยการซื้อเสียงจากประชาชน หรือจากการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์และยุติธรรม เป็นการทำลายระบบประชาธิปไตย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยหยุดยั้ง ที่จะทำประโยชน์ให้สังคมหรือประเทศชาติ ตามความสามารถและตามแนวทางของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า เยาวชนเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมในอนาคต ข้าพเจ้าจึงพยายามให้การศึกษา ให้การอบรม ให้แนวทางที่ถูกต้องแก่เยาวชน และพยายามชี้นำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายได้ประพฤติตนเป็นตัวอย่างแก่เยาวชนในด้านความเป็นคนดี มีศีลธรรมมีความซื้อสัตย์ต่อประเทศชาติและประชาชน
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า “สตรีไทย” เป็นผู้มีความสามารถไม่ด้อยกว่าผู้ชาย ดั้งนั้นข้าพเจ้าจึงสนับสนุนสิทธิสตรีด้วยการกระทำ ไม่ใช่สนับสนุนเฉพาะคำพูดเท่านั้น และเมื่อข้าพเจ้ามีหน้าที่ในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงสุดของรัฐสภา ข้าพเจ้าไม่ยอมรับฟังคำทักท้วงที่ไม่ให้แต่งตั้งผู้หญิงเป็นเลขาธิการรัฐสภาเพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าได้กระทำในหลักการที่ถูกต้อง และข้าพเจ้าจะสนับสนุนสิทธิสตรีโดยการกระทำต่อไปไม่ใช่เพียงเพื่อหาคะแนนนิยมเท่านั้น
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในหลัก “นิติธรรม” (THE RULE OF LAW) โดยถือว่า “กฎหมาย” เป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญของบ้านเมือง ดังนั้น ประเทศจะต้องมีกฎหมายที่เป็น “ธรรม” และผู้ใช้กฎหมายต้องใช้ด้วยความยุติธรรม ด้วยความเสมอภาค ไม่ยินยอมให้มีการละเมิดกฎหมายซึ่งคุ้มครองสิทธิของประชาชนส่วนใหญ่ โดยคนกลุ่มน้อยซึ่งเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนโดยการสนับสนุนของเจ้าหน้าที่บางส่วนด้วยความ จงใจหรือละเว้นไม่บังคับใช้กฎหมายเพราะได้รับประโชยน์เป็นทรัพย์สินเงินทองหรือเพราะต้องการคะแนนเสียงในการเลือกตั้งซึ่งทำให้เกิด “สภาพไร้กฎหมาย” ในสังคม ข้าพเจ้าเชื่อว่าสันติสุขจะเกิดขึ้นไม่ได้ในสังคมที่ไม่เคารพกฎหมาย มีการทุจริต และขาดระเบียบวินัย
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในประการสุดท้ายว่า สิ่งที่ทุกคนต้องการคือ “ความสุข” และไม่แน่เสมอไปว่าเศรษฐีจะมี “ความสุข” เหนือกว่า “คนยากจน”
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า ระบบใดก็ตามไม่สามารถเฉลี่ยความเท่าเทียมกันทางวัตถุให้แก่คนทุกคนได้เพราะกฎธรรมชาติได้แบ่งประเภท คนฉลาดกับคนโง่ คนขยันกับคนขี้เกียจ คนสุรุ่ยสุร่ายกับคนมัธยัสถ์ หรือคนดีกับคนชั่ว ดังนั้น คนในสังคมจะมีความเท่าเทียมกันไม่ได้ ตราบใดที่ ”กรรม” ของบุคคลแตกต่างกัน
ข้าพเจ้าจึงพยายามชี้นำในเรื่องการ “เฉลี่ยความสุข” ในสังคม โดยให้คนที่มีโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมเหนือกว่า ได้เฉลี่ยโอกาสให้แก่ผู้ที่ด้อยกว่า โดยเริ่มจากบุคคลที่ใกล้ตัว และขยายวงออกไปในกลุ่มหรือสังคมที่ใหญ่ขึ้น ข้อสำคัญ การกระทำเช่นนี้ต้องเป็นการกระทำโดยใจสมัคร มุ่งที่จะช่วยเหลือบุคคลอื่นด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่มุ่งหวังตอบแทนอย่างอื่น นอกจาก “ความสุขใจ” ที่เกิดขึ้นเมื่อได้กระทำความดี
ข้าพเจ้าได้ยึดมั่นในหลักการข้างต้นนี้และนี่คือ “ความเชื่อมั่น”ของข้าพเจ้า
ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน
วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๔
My Beliefs and Convictions
Take great pride in being born a Thai. Being a Thai means loving freedom and independence; being brave and daring; having a spirit of kindness and thoughtfulness.
I have faith in the institutions of the nation, religion and monarchy which have enabled us to maintain our independence throughout time. Ours in a different history from many of our neighboring countries which lost their independence because of a break down in national unity and solidarity through internal power struggles and corruption as the interests of the nation and its people were sadly forgotten.
I firmly believe in the law of karma, i.e., those who do good will reap good; those that do evil will reap evil. Reaping good and evil does not only concern material possessions but also involves catastrophes, disasters and violent accidents which will, sooner or later, not only befall those who do evil and also may affect their families or others close to theme.
I have faith in the Buddhist values of Buddhism, doing good and avoiding evil and making ones heart and mind pure. Thus, I try my utmost to do everything which will result in benefit and progress for those whom I love and cherish beginning with those in my family, in my office, my Thai friends and finally my international friends.
I firmly believe in the principle of gratitude. Thus, I do everything in my power to repay the merit and generosity of those who have been charitable and benevolent of me, especially my father and mother; my teachers; and others who have, in one way or another, been helpful to me with pure intention and pure heart. Almost everyone who has been helpful and useful to me has received appropriate benefits. This has applied to associates, staff or workers when I was their superior in government service, in private business, or in my home. I especially never forget or abandon those who have served me when they reach old age and their declining years or when they are in ill health and can no longer work. I provide care for theme including defraying their hospital bills no matter what the cost may be. Despite the fact such old or sick people may no longer be able to work, I always remember the good they have done in the past and follow the principle of humanness.
I firmly believe that all people, rich or poor, fit of disabled, fortunate or unfortunate are basically the same in terms of inherent individual worth. Thus, I behave towards all as they deserve, not fearing the rich and powerful nor taking advantage or oppressing those less fortunate and with fewer advantages than myself whether it be in terms of qualifications, status, or social and economic opportunities. I act this way because I know that there is not much difference in the number of years each of us lives. Thus, we should only do good and have compassion and tolerance towards our fellow human beings. In the final analysis, in acting this way, our fame, honor and prestige will be remembered by all. And we can take pride that such a good reputation was the result of our own good actions with no ulterior motives or hidden agendas and was achieved without using tricks or ruses to deceive others.
I truly believe that I am merely one Thai who has had more good fortune than others because I have been privileged to have the opportunity to serve the nation and the public in a variety of ways. I have always been firmly committed in all my work to using my knowledge, capability and experience blened together free from illusion. I have followed the principle that whatever one does, one must do ones best. Whatever the result, I accept it entirely. For whatever will arise, must arise. What is important is that ones actions are virtuous and do not interfere or inconvenience others. Following this principle, I have achieved quite acceptable and appropriate results in my different activities whether in academic work, government service, the legal profession, in business, in politics, in social welfare or in international relations etc. In all of these areas, I have been fortunate in reaching the highest positions of office and responsibility. However, I have not forgotten myself or inflated my own importance for I hold fast to the following principles: unexpected good fortune gained can later be easily lost; rank gained can later be easily lost; those praised can later be easily slandered; those who are happy can later easily suffer. Thus, I do not become too attached to fame and reputation, praise and approval at anyone time. I remain always ready to receive advice and constructive criticism from those with good intentions. I remain prepared to consider such advice and correct and improve myself so as to better serve the nation and public, However, where criticism is ill-intentioned, unjust and destructive. I ignore it and view it of no importance because it will only cause me to become irritated, discouraged and disheartened. As long as mankind still craves, is greedy, and is inflamed with envy and jealousy., it will not be possible to curb and stop slander and abuse.
I have no craving or ambition for power or for high positions and responsibility in government service gained through playing politics at the present time. This is due to the fact that, in my considered opinion, playing politics today means buying votes or being elected through elections that are neither clean nor just results in the destruction of the democratic system. However, I have never stopped being of service to the nation and society in line with my own abilities and philosophy.
I firmly believe that the youth of today are the firm foundations on which society will be built in the future. Thus, I always try to give education and training and advice to the young as to the proper direction of their lives. I also try to advise the nation’s elders and leaders to act as role models for the younger generation by being good citizens, being moral and being honest towards the nation and the citizenry.
I firmly believe that Thai women have capabilities in no way inferior to men. Thus, I support women’s rights in my actions as well as my words. When I had the duty to make an official appointment at the highest level of the National Assembly I did not allow myself to listen to objections against appointing a woman as Secretary-General. I felt I was acting in line with just and right principles not because of any desire to gain praise. I will continue to constantly support women’s rights in the future.
I have a firm belief in the “rule of law” as I hold the “law” to be the most important regulator of behavior in the country. It follows that a nation must have laws which are right and just, and those who administer the law must do so with justice and equality. One must not allow any infringement, abuse or violation of the law which protects the rights of the majority of the citizenry against small groups with vested selfish interest often acting with the intentional support of some government officials. Those avoiding just application of the law because of monetary gain or because votes are being sought for an election have no respect for the law. All such actions can lead to a condition of the absence of the law in society. I firmly believe that peach and happiness will not be born in a society which does not have respect for the law, which is corrupt; and which lacks rules and discipline.
I firmly believe that all people desire happiness and it is certainly not necessarily so that the rich will have greater happiness than the poor.
I firmly believe that no matter what the system, it is not possible to assure absolute material equality among all as the law of nature creates inequalities; the intelligent and the ignorant; the energetic and the lazy; the spendthrift and the thrifty; the good and the evil. Thus, people in society cannot be completely equal as long as the karma of each individual differs.
Thus, I try to give guidance as to the equitable and even distribution of happiness in society asking those who have greater advantages economically and socially to share opportunities with those less fortunate. One may start with those close to one and then go beyond to those in larger groups in society. It is most important that acting in this way must be voluntary with the intention of helping others with purity of heart. One must act with no thought of return except for the happiness one gains through such unselfish actions.
I firmly believe in the principles outlined above. These are the beliefs which I live by.
Prof. Dr. Ukrit Mongkolnavin
1st January 1991